ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นสาเหตุให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย การเปิดตัวธุรกิจใหม่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ธุรกิจสตาร์ทอัพจำเป็นต้องวางแผนประหยัดต้นทุนในออฟฟิศตั้งแต่เริ่มต้น แม้จะเป็นกิจการขนาดเล็กแต่ส่วนใหญ่ต้องลงทุนหลักแสนบาทเป็นอย่างน้อย การเงินของบริษัทอาจสั่นคลอนหากไม่สามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอในช่วง 2-3 ปีแรกของการดำเนินธุรกิจ แม้ว่าการเริ่มต้นธุรกิจจะได้รับการสนับสนุนการเงินอย่างดีจากแหล่งทุนต่าง ๆ แต่ยังคงจำเป็นต้องมองหาวิธีลดต้นทุนอยู่เสมอ เพราะการใช้จ่ายเงินลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น มักเป็นช่วงอันตรายสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ เพราะการสร้างธุรกิจมีรายจ่ายประจำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออุปกรณ์ ค่าจ้างพนักงาน หรือการบริหารสินค้าคงคลัง พยายามอย่าขุดหลุมฝังตัวเองก่อนที่จะเริ่มทำกำไร
การหาทำเลลงทุน สำคัญมาก
ตัวเลือกในการลดค่าใช้จ่ายสำนักงานมีทางใดบ้าง เริ่มแรกผู้ประกอบการสตาร์ทอัพควรมองหาหนทางที่จะลดต้นทุนโดยไม่ลดทอนค่าใช้จ่ายด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการหลักเพื่อรักษาคุณภาพและทำให้ธุรกิจยังคงมีความน่าเชื่อถือ การเลือกพื้นที่สำนักงานที่ไม่แพงหรือไม่ใช่ย่านธุรกิจดัง ช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายทางธุรกิจลดลงได้ พื้นที่สำนักงานใจกลางเมืองมีราคาแพง ลองค้นหาพื้นที่ว่างแถบชานเมืองแทน หรือพิจารณาไอเดียการทำงานแบบ Co-working Space เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งมีทั้งพื้นที่ทำงานสำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์ที่สามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงพื้นที่ให้เช่าเป็นออฟฟิศและมีห้องประชุมด้วย สามารถเลือกทำเลในเมืองที่เดินทางสะดวก พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกให้ใช้งานอย่างครบครัน ถ้ามีโรงงานผลิตอยู่ต่างจังหวัด อาจเช่าพื้นที่ทำงานแบบมินิมอลเป็นหน้าออฟฟิศสำหรับการติดต่อก็ได้ เป็นการรองรับธุรกิจที่จ้างฟรีแลนซ์ทำงานระยะไกลด้วย เทคโนโลยีในปัจจุบันอำนวยความสะดวกช่วยให้มืออาชีพสามารถทำงานและสื่อสารได้จากทุกที่โดยไม่ต้องเข้าสำนักงาน
ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นธุรกิจจากบ้านของตัวเอง เช่าสำนักงานหรือพื้นที่ค้าปลีก ควรมองหาช่องทางลดค่าสาธารณูปโภค ควรจดค่าน้ำ ค่าไฟ ตรวจสอบการใช้งานและลดค่าใช้จ่ายทุกเดือน ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงานมากขึ้น ปรับอุณหภูมิเพียง 2-3 องศาก็ประหยัดได้แล้ว อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสเป็นค่ามาตรฐานช่วยประหยัดไฟ รวมทั้งการปรับใช้อุปกรณ์ในโหมดประหยัดแบตเตอรี่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยแต่ลดค่าไฟได้ไม่น้อยในแต่ละเดือน
เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นก็จริง แต่เพราะอุปกรณ์ส่วนใหญ่มีราคาแพง ควรลงทุนเฉพาะเครื่องมือที่จำเป็นในตอนเริ่มต้นใช้งาน ในทางกลับกันการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพจะลดค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ได้ เช่น เทคโนโลยีเพื่อการผลิตสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ พนักงานทำงานได้ผลงานและใช้เวลาทำงานลดลง จึงเหลือเวลาทำงานอื่นได้มากขึ้น รวมถึงลงทุนด้านซอฟต์แวร์ที่ช่วยประหยัดเงินอย่างเช่น ระบบคำนวณและบริหารจัดการสินค้าคงคลัง โปรแกรมจัดการทรัพยากรบุคคล และเครื่องมือการตลาดอื่น ๆ
นอกจากนี้ ต้นทุนกระดาษเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองแท้จริง หลายคนกังวลว่าถ้าไม่มีเอกสารกระดาษเลยจะยุ่งยากมากขึ้นแค่ไหน ความจริงแล้วการทำทุกอย่างบนคอมพิวเตอร์ ส่งข้อความผ่านอีเมล เก็บข้อมูลบนคลาวด์จนถึง eBooks และเทคโนโลยีการสื่อสารอื่น ๆ จะช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายไปได้มาก ทั้งยังดีต่อสิ่งแวดล้อมในคราวเดียวกัน