เศรษฐกิจโลกเกิดจากการมีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ทดลองของบริษัท มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ค้นหานวัตกรรมใหม่อย่างตั้งใจเป็นจำนวนล้านคน จึงได้เจอสิ่งใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมากมายคล้ายเอดิสัน ถึงแม้ว่าเป็นบุคคลธรรมดา ก็ยังสามารถสร้างนวัตกรรมได้เช่นกัน ด้วยการนำไอเดียไปจดลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ใกล้ ๆ ตัว มีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างแพร่หลายเพื่อการซื้อขายหรือมีการจ่ายเงินซื้อสินค้าทางออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลก และยังรวมไปถึงประเภทธุรกิจที่เรากำลังจะกล่าวถึง ดังต่อไปนี้
ธุรกิจประเภทที่ 1 ธุรกิจพลังงาน
ธุรกิจประเภทนี้ เป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก ซึ่งจากเดิมน้ำมันเป็นเศรษฐกิจของโลก โดยประเทศในตะวันออกกลางที่มีความร่ำรวยน้ำมัน เช่น ประเทศรัสเซีย ประเทศซาอุดิอาระเบีย เพราะเมื่อน้ำมันขึ้นราคา ความร่ำรวยก็มากขึ้นกว่าเดิม แต่ในภายภาคหน้ามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากน้ำมันเป็นการเริ่มต้นพลังงานทดแทน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังงานลม
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ถ้าไม่ปรับตัวจะทำให้ธนาคารโลกมีการพยากรณ์ไว้ว่า อีกสิบปีข้างหน้า ประเทศซาอุดิอาระเบียก็จะกลายเป็นประเทศลูกหนี้หรือมีหนี้อย่างมหาศาลเพราะรายได้หลักที่มาจากน้ำมันได้ลดฮวบลงไปทำให้ไม่พอใช้จ่ายในประเทศ สุดท้ายกลายเป็นประเทศยากจน ตอนนี้ประเทศซาอุดิอาระเบียได้พยายามปรับโครงสร้างธุรกิจของประเทศด้วยการลดน้ำมันลงโดยเร็ว เพื่อไม่พึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียวก่อนที่จะสายเกินไป
ธุรกิจประเภทที่ 2 ธุรกิจที่เกี่ยวกับการคมนาคม
ธุรกิจที่เกี่ยวกับการคมนาคม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ใหญ่ของโลก โดยเฉพาะรถยนต์ ซึ่งตอนนี้ยังใช้น้ำมันและได้ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งในปัจจุบันยังถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติแต่ในอนาคตจะเป็นเรื่องแปลก เนื่องจากในอนาคต ระบบเครื่องยนต์จะถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานที่สะอาด เช่น ไฟฟ้า หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะจอดไว้อยู่ในพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงให้เห็นว่าเมื่อครั้งในอดีตนั้น มีรถยนต์ที่เคยใช้น้ำมัน
ปัจจุบันนี้ เริ่มมีแนวโน้มที่เห็นได้ชัดเจนในหลาย ๆ ประเทศในยุโรป เพราะเริ่มมีการประกาศแล้วว่า ภายใน 15 หรือ 20 ปีข้างหน้า ห้ามขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่จะมีแนวโน้มหรือทิศทางอย่างชัดเจน กล่าวคือจะมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นรถที่มีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนที่มีแค่ตัวถัง มีเพลาและแบตเตอรี่ โดยแบตเตอรี่ไปหมุนเพลาก็จะทำให้รถวิ่งได้ นอกจากนี้ยังดูแลรักษาง่ายด้วยการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งแตกต่างกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันที่มีชิ้นส่วนเยอะมาก ถือว่าเป็นข้อดีแต่ก็มีข้อเสียบ้างในเรื่องราคาที่แพงกว่ารถที่ใช้น้ำมัน อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณมากก็จะทำให้มีราคาถูกลงกว่ารถที่ใช้น้ำมัน รวมถึงค่าพลังงานที่ถูกลงด้วย ตัวอย่างประมาณการเช่น คนที่ใช้รถแบบเติมน้ำมันเดือนละ 5,000 บาท เมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็จะเหลือ 500 บาท หรือคิดเป็น 1 ใน 10 ของค่าน้ำมัน
นับวันเศรษฐกิจโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างจากสมัยก่อนประมาณ 1000 ปี ที่มีความเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อทุกอย่างต่างมีการเปลี่ยนแปลงในอัตราเร่งทั้งเศรษฐกิจโลกและเทคโนโลยี เราทุกคนจึงไม่ควรละเลยที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อให้สามารถปรับตัวก้าวทันการเปลี่ยนแปลงได้